วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตำนานสถานที่

เรื่อง  เจ็ดหวดเจ็ดไห

          ครอบครัวหนึ่งมีลูกอยู่คนหนึ่งชื่อว่า  ท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไห  เป็นคนที่กินจุ  กินข้าวหมดครั้งละเจ็ดหวด  กินปลาร้าหมดครั้งละเจ็ดไห  วันหนึ่งพ่อกับแม่ไปป่า  ก่อนจะไปได้นึ่งข้าวไว้ลูกชายก็กินจนหมด  เมื่อกลับบ้านพ่อแม่เห็นดังนั้นจึงปรึกษากันว่า  ทำอย่างไรลูกจึงจะพ้นไปจากอกตน  เมื่อตกลงกันได้แล้ว  ผู้เป็นพ่อจึงพาลูกไปคล้องช้างในป่า  โดยหวังจะให้ช้างเหยียบลูกตาย  ลูกกลับคล้องช้างได้จริง ขี่ช้างกลับมาบ้าน  ทำให้พ่อโกรธมาก  จึงพาลูกเข้าป่าไปตัดต้นไม้ใหญ่ โดยพ่อจะเป็นผู้โค่นให้ลูกเอาบ่ารับให้ได้  ลูกก็เอาบ่ารับไม้ใหญ่จะทับลูกตายจึงร้องให้พ่อช่วย  พ่อก็ไม่ช่วยหนีกลับบ้าน  พระอินทร์สงสารเลยลงมาช่วย  ลูกชายก็แบกต้นไม้กลับบ้านได้  เมื่อไปถึงบ้านลูกจึงถามพ่อว่าจะให้ลูกวางไม้ไว้ตรงไหน  พ่อบอกว่าให้วางไว้ที่ท่าน้ำลูกก็เอาไปวางไว้  ขอนไม้นั้นขวางทางเรือสำเภาที่มาค้าขาย  พ่อค้าจึงประกาศให้คนไปช่วยยก  โดยจะให้เสื้อผ้าที่บรรทุกสำเภามาเป็นรางวัล  ท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไหไปยกขอนไม้นั้นได้จึงได้รับรางวัลจากพ่อค้ามากมาย  จึงหอบเสื้อผ้าที่พ่อค้าให้กลับบ้านไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่มีความสุขดังเดิม

เรื่องนางสิบสอง

          มีผัวเมียคู่หนึ่งมีลูกด้วยกัน ๑๒ คน  พ่อแม่ยากจนมากจนไม่สามารถจะหาอะไรมาให้ลูกกินได้  เมื่อขุดได้เผือกได้มันมาลูกก็กินจนหมด  จนตัวเองไม่ได้กิน  พ่อแม่จึงปรึกษากันที่จะเอาลูกไปปล่อย  จึงพาลูกเข้าไปในป่า เมื่อลูกเดินทางเข้าไปในป่าลึก  พ่อก็ถามว่า ตรงนี้จำได้ไหม  ลูกตอบว่า จำได้  พ่อก็จะพาเดินลึกเข้าไปอีก  แล้วก็ถามว่า ตรงนี้จำได้ไหม ลูกตอบว่า จำได้พ่อก็พาเดินลึกเข้าไปอีกแล้วก็ถามดังเดิม  จนกระทั่งลูกตอบว่า จำไม่ได้ พ่อกับแม่จึงวางอุบายว่าให้รออยู่ที่นี่  พ่อกับแม่จะไปถ่ายอุจจาระ แล้วก็หนีกลับบ้านไป  ต่อมาฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ผัวเมียทำนาได้ข้าวมากทั้งอาหารก็บริบูรณ์จึงคิดถึงลูกพากันไปรับลูกกลับบ้าน  แต่พอไปถึงป่าก็พูดจากับลูกไม่รู้เรื่องเพราะเด็กพวกนี้อยู่ป่ามานานเกินไปจึงพูดจากันแทบจะไม่รู้เรื่อง  พ่อแม่จึงจำใจต้องกลับปล่อยให้ลูกของตนอยู่ในป่าจนกลายเป็นลิงไป

นิทานอธิบายสถานที่

          ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  เจ้าเมืองเมืองหนึ่งมีโอรสชื่อ  เจ้าชายพิจิตร  เมื่อเจ้าชายพิจิตรมีพระชนมายุได้ ๑๖ ปี โหรได้ทำนายว่าเนื้อคู่ของเจ้าชายขณะนี้ยังอยู่ในครรภ์เป็นคนธรรมดาสามัญ  แต่มีบุญวาสนาขณะที่อยู่ในครรภ์ของมารดาจะมีกลดกั้นไม่ให้ถูกแสงแดด  พระบิดาของเจ้าชายจึงได้บอกให้เจ้าชายพิจิตรออกตามหาเนื้อคู่ของพระองค์  เจ้าชายจึงออกเดินทางจนถึงบ้านกางตำรา  เจ้าชายพิจิตรเห็นนางสายบัวกับสามีกำลังดำนาอยู่  พระอาทิตย์ทรงกลดอยู่เหนือศรีษะนาง  ต้องตามลักษณะมารดาเนื้อคู่ของเจ้าชาย  เจ้าชายจึงปลอมเป็นคนธรรมดาขออาศัยอยู่ด้วยจนกระทั่งนางสายบัวคลอดลูกชื่อว่า  อรพิมพ์  เจ้าชายพิจิตรได้ช่วยเลี้ยงดูทารกจนกระทั่งอายุได้ ๑๖ ปี  เจ้าชายจึงบอกความจริงแก่ยายสายบัวและสามีพร้อมกับขอหมั้นนาง  สองสามีภรรยาก็ตกลง  เจ้าชายก็เสด็จกลับบ้านเมืองของพระองค์เพื่อจะไปแต่งขันหมากมาสู่ขอตามประเพณี
          ทางฝ่ายนางอรพิมพ์ซึ่งอยู่ในเขตเมืองของพระเจ้าพรหมทัต  พระองค์ยังไม่มีมเหสีเช่นกัน  ได้มาพบกับนางอรพิมพ์ก็เกิดความพอพระทัย จึงไปบังคับนางมาเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับตน  เมื่อเจ้าชายพิจิตรนำขบวนแห่ขันหมากมาได้ทราบข่าวร้ายนี้เข้าก็กริ้วท้าวพรหมทัต ถึงกับถีบรถขันหมากลงห้วยไป  ตรงที่เจ้าชายถีบรถลงนั้นเรียกว่า  บ้านกงรถ  และลำคลองที่ถีบขันหมากลงก็เรียกว่า ลำปลายมาศ  แล้วเจ้าชายก็ลอบเข้าไปในวังท้าวพรหมทัตโดยบอกนายประตูว่าเป็นพี่ชายของนางอรพิมพ์มาเยี่ยม  เมื่อนายประตูไปกราบทูลข่าวให้ท้าวพรหมทัตกับนางอรพิมพ์ทราบก็เสด็จออกมาต้อนรับ  พอนางอรพิมพ์เห็นท้าวพิจิตรก็ร้องว่า "พี่มาหรือ"  เมืองนี้จึงได้ชื่อว่า เมืองพิมาย  พอเย็นท้าวพรหมทัตก็จัดเลี้ยงอาหารแก่เจ้าชายพิจิตร  ท้าวพรหมทัตเสพสุราจนเมาหมดสติไป  เจ้าชายพิจิตรก็ลอบปลงพระชนม์ท้าวพรหมทัตเสีย  แล้วพานางอรพิมพ์หนีออกมาเดินทางเพื่อจะกลับบ้านเมืองของเจ้าชายพิจิตร  ครั้นมาถึงที่มีแม่น้ำขวางหน้าอยู่ก็คิดหาวิธีที่จะข้ามไปก็พอดีเจอเณรน้อยพายเรือมา  จึงได้ขออาศัยข้ามไป แต่เณรนั้นเมื่อเห็นนางอรพิมพ์ก็เปิดปฏิพัทธ์รักใคร่ ก็ได้ออกอุบายว่า  เรือนี่เล็กถ้าจะข้ามไปก็ต้องไปทีละคนถึงจะข้ามได้  เจ้าชายพิจิตรก็ให้นางอรพิมพ์ข้ามไปก่อน  แต่พอนางอรพิมพ์ลงเรือเณรกลับพานางอรพิมพ์พายเรือหนีไป  เมื่อพายเรือถึงต้นมะเดื่อต้นหนึ่งอยู่ริมฝั่งน้ำ ผลมะเดื่อสุกเต็มต้น  นางอรพิมพ์ก็หลอกให้เณรปีนขึ้นไปยอดสูง แล้วตก็พายเรือหนีไปแล้วก็สาบเป็นแมลงหวี่อยู่ในผลมะเดื่อมาจนทุกวันนี้
          ฝ่ายนางอรพิมพ์เมื่อพายเรือหนีมาได้ เกิดความหิวและเหนื่อยมากและไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดีก็ได้แต่ร้องไห้  จนหมู่บ้านนั้นมีชื่อว่า  นางร้อง  ต่อมาได้แปรมาเรื่อยจนเป็นนางรอง เมื่อเดินมาถึงศาลากลางน้ำของฤาษีตนหนึ่งก็ได้ขึ้นมาขออาศัยอยู่  และก็เฝ้ารอเจ้าชายพิจิตรที่ศาลาทุกวันเพราะคิดว่าเจ้าชายจะต้องตามมาทางน้ำแน่ๆ
          ทางเจ้าชายพิจิตร เมื่อเณรพานางอรพิมพ์หนีเช่นนั้นก็โกรธมาก  จึงตามมาเรื่อย ทางเลียบริมน้ำ  จนกระทั่งมาพบกันกับนางอรพิมพ์ที่ศาลาของฤาษีจึงได้ขึ้นไปหา  เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง และก็ลาฤาษีกลับบ้านเมืองของตน  เมื่อมาถึงเมืองก็เข้าเฝ้าพระบิดามารดา และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง  พระบิดาก็รับนางอรพิมพ์เป็นพระสุนิสา  เมื่อพระบิดาของเจ้าชายสวรรคต เจ้าชายพิจิตรก็ขึ้นครองเมืองแทน  เมืองของท้าวพิจิตรก็คือ  "เขาพนมรุ้ง" นี่เอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น